Image copyrightGETTY IMAGESมะม่วงเป็นผลไม้ที่คนไทยคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี ในประเทศไทยมีมะม่วงหลากหลายพันธุ์ และเราก็นิยมนำผลไม้ชนิดนี้มาทานทั้งแบบดิบ สุก และแบบแปรรูป อีกทั้งยังใช้ทำได้ทั้งอาหารคาวและอาหารหวาน
บีบีซีชวนอ่านเรื่องน่ารู้ 12 ประการเกี่ยวกับผลไม้เมืองร้อนชนิดนี้ที่คุณรู้จักมายาวนานแต่อาจยังไม่ทราบเกี่ยวกับมัน
Image copyrightGETTY IMAGES
ในโลกมีมะม่วงหลายร้อยชนิด บางชนิดมีอยู่เฉพาะในบางภูมิภาค บางชนิดมีรสชาติหวานมัน บางชนิดมีรสเปรี้ยว และบางชนิดมีรสชาติคล้ายสับปะรด
ส่วนใครชอบทานมะม่วงสุก ควรลิ้มลองมะม่วงพันธุ์ต่าง ๆ และหนึ่งในนั้นคือ มะม่วง "อัลฟองโซ" (Alphonso) ซึ่งผลสุกมีรสชาติหอมหวานจนชาวอินเดียยกให้เป็น "ราชาแห่งผลไม้"
Image copyrightHINDUSTAN TIMES VIA GETTY IMAGES3 ประเทศที่จัดให้มะม่วงเป็นผลไม้ประจำชาติ ได้แก่ ปากีสถาน อินเดีย และฟิลิปปินส์ นอกจากนี้ บังกลาเทศยังจัดให้มะม่วงเป็นต้นไม้ประจำชาติด้วย
Image copyrightGETTY IMAGES
เชื่อว่า mango ซึ่งเป็นคำเรียกมะม่วงในภาษาอังกฤษนั้น กลายมาจากคำในภาษาทมิฬ "mankay" และคำว่า "mangga" ในภาษาเกรละ
ตอนที่พ่อค้าชาวโปรตุเกสเข้าไปค้าขายทางภาคใต้ของอินเดีย พวกเขาได้ปรับคำดังกล่าวเป็น "manga" แต่เป็นชาวอังกฤษที่เข้าไปค้าขายทางภาคใต้ของอินเดียในช่วงศตวรรษที่ 15 และ 16 ที่ให้กำเนิดคำว่า mango
Image copyrightGETTY IMAGES
ผลผลิตมะม่วงส่วนใหญ่คือพันธุ์ "ทอมมี แอตกินส์" (Tommy Atkins) ซึ่งถูกเพาะพันธุ์ขึ้นในรัฐฟลอริดาของสหรัฐฯ ความโดดเด่นของมะม่วงพันธุ์นี้คือ โตเร็ว มีลูกใหญ่ สีเหลืองสวย ทนทานต่อโรคเชื้อรา ไม่ช้ำง่าย และคงความสดได้นาน จึงได้รับความนิยมนำไปวางขายตามซูเปอร์มาร์เก็ตต่าง ๆ ทั่วโลก
อย่างไรก็ตาม ข้อด้อยของมะม่วงพันธุ์นี้คือ เนื้อมีเสี้ยนมากเมื่อสุก และรสชาติไม่เข้มข้นเท่ามะม่วงพันธุ์น้ำดอกไม้ที่คนไทยนิยมทานกัน
Image copyrightGETTY IMAGES
บรรดาซูเปอร์มาร์เก็ตรับซื้อมะม่วงจากดินแดนเขตร้อนทั่วโลกที่มีผลผลิตเวียนกันออกมาตลอดทั้งปี เริ่มตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ เปรู ตามด้วยประเทศแถบแอฟริกาตะวันตก จากนั้นก็เป็นอิสราเอลและอียิปต์ ในช่วงไตรมาสที่สามของปี และตามด้วยบราซิล
Image copyrightGETTY IMAGES
แต่ละปีอินเดียมีผลผลิตมะม่วงกว่า 18 ล้านตัน ซึ่งเป็นปริมาณเกือบ 40% ของผลผลิตมะม่วงทั้งโลก แต่สัดส่วนการส่งออกมะม่วงสู่ตลาดโลกของอินเดียกลับมีไม่ถึง 1% เพราะคนอินเดียบริโภคผลผลิตมะม่วงส่วนใหญ่ของประเทศ
ส่วนประเทศผู้ส่งออกมะม่วงรายใหญ่ของโลกได้แก่ จีน และไทย
Image copyrightGETTY IMAGES
เชื่อกันว่ามะม่วงป่าเกิดขึ้นที่เชิงเขาหิมาลัยในอินเดีย และที่เมียนมา แต่การเพาะปลูกมะม่วงครั้งแรกเกิดขึ้นเมื่อราว 5,000 ปีที่แล้ว ทางตอนใต้ของอินเดีย เมียนมา และหมู่เกาะในทะเลอันดามัน
Image copyrightGETTY IMAGES
มะม่วงมีต้นกำเนิดในเอเชีย แต่ปัจจุบันมีการปลูกมะม่วงอย่างแพร่หลายทั่วโลก
พบหลักฐานที่บ่งชี้ว่า มีการปลูกมะม่วงในทวีปแอฟริกาครั้งแรกในศตวรรษที่ 10 ต่อมาช่วงศตวรรษที่ 14 อิเบน บัตตูตา นักเดินทางและปราชญ์ชาวโมร็อกโก ได้เขียนบันทึกว่าได้เห็นต้นมะม่วงในกรุงโมกาดิชูของโซมาเลีย ซึ่งอยู่บริเวณแหลมแอฟริกา และมีทิศตะวันออกติดกับมหาสมุทรอินเดีย
ในยุคการค้าเครื่องเทศเฟื่องฟูช่วงศตวรรษที่ 15 พ่อค้าชาวยุโรปได้เข้าไปค้าขายในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในจำนวนนี้คือพ่อค้าชาวโปรตุเกสและสเปน พวกเขาต่างติดใจรสชาติอันหอมหวานของมะม่วง ทำให้ภายในศตวรรษที่ 17 ได้มีการนำมะม่วงไปปลูกในดินแดนอาณานิคมของประเทศเหล่านี้ในทวีปอเมริกา
ทุกวันนี้มีการปลูกมะม่วงอย่างแพร่หลายตามหมู่เกาะในทะเลแคริบเบียน บราซิล หรือแม้แต่ในประเทศเขตอบอุ่นแถบเทือกเขาแอนดีสอย่าง เปรู
ส่วนสเปน เป็นประเทศยุโรปแห่งเดียวที่เพาะปลูกมะม่วง โดยปลูกกันในแถบเมืองมาลากาทางภาคใต้ของประเทศ
Image copyrightGETTY IMAGES
เชื่อกันว่าต้นมะม่วงเก่าแก่ที่สุดในโลกมีอายุ 300 ปี อยู่ในรัฐมหาราษฏระ ทางภาคกลางของอินเดีย แถมยังคงผลิดอกออกผลมาจนถึงทุกวันนี้
Image copyrightGETTY IMAGES
มะม่วงเป็นไม้ผลเมืองร้อนในวงศ์ Anacardiaceae ซึ่งอยู่ในกลุ่มเดียวกับถั่วพิสตาชีโอและมะม่วงหิมพานต์ โดยเป็นพืชที่มีเปลือกหุ้มเมล็ดแข็ง
Image copyrightGETTY IMAGES
มะม่วง 1 ถ้วยมีวิตามินซีราว 60 มิลลิกรัม ในสหราชอาณาจักร สำนักบริการสาธารณสุขแห่งชาติ (เอ็นเอชเอส) แนะนำว่าผู้ใหญ่อายุระหว่าง 19-64 ปี จำเป็นต้องได้รับวิตามินซีวันละ 40 มิลลิกรัม ส่วนในสหรัฐฯ ข้อแนะนำดังกล่าวอยู่ที่ 60 มิลลิกรัม
นอกจากนี้ มะม่วงยังอุดมไปด้วยวิตามินเอ โพแทสเซียม และโฟเลต (วิตามินบี 9) อีกทั้งยังให้เส้นใยอาหาร
Image copyrightGETTY IMAGES
ข้อมูลสถิติโลกกินเนสส์ เวิลด์ เรคคอร์ดส์ ระบุว่า มะม่วงหนักที่สุดในโลกมีน้ำหนัก 3.435 กิโลกรัม ยาว 30.48 เซนติเมตร และมีเส้นรอบวง 17.78 เซนติเมตร เกิดจากต้นมะม่วงหน้าบ้านชาวฟิลิปปินส์ครอบครัวหนึ่งเมื่อปี 2009
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
https://www.bbc.com/thai/features-45450288
d-power